วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย


การเขียนข้อสอบวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย



       บลูม (Bloom) และคณะ ได้จำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แบ่งย่อยเป็น 6 ด้าน และแต่ละด้านได้แบ่งเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ รวมทั้งหมด 21 พฤติกรรม พฤติกรรมทั้ง 6 ด้าน มีดังนี้

1. ด้านความรู้ความจำ (Knowledge)
           ความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถของสมองที่เก็บสะสมเรื่องราวต่าง ๆ หรือประสบการณ์ทั้งปวง     ที่ตนได้รับรู้มา
        1.1 ความรู้ในเนื้อเรื่อง หมายถึง การถามเกี่ยวกับเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระตามท้องเรื่องนั้น
           1.1.1 ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม หมายถึง การถามเกี่ยวกับคำศัพท์ นิยามคำแปล ความหมาย    ชื่อ อักษรย่อ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ
ตัวอย่าง :  เครื่องหมาย ! เรียกว่าอะไร ?
              ก. ปรัศนี           ข. บุพสัญญา             ค.  อัศเจรีย์              ง. อัญประกาศ
           1.1.2 ความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง หมายถึง การถามเกี่ยวกับ กฎ สูตร ความจริงตามท้องเรื่อง ขนาด ทิศทาง ปริมาณ เวลา คุณสมบัติ ระยะทาง เปรียบเทียบ สาเหตุ
ตัวอย่าง : ดื่มน้ำชนิดใดปลอดภัยที่สุด  ?
              ก. น้ำต้ม           ข. น้ำประปา            ค.  น้ำฝน             ง. น้ำบาดาล

         1.2 ความรู้ในวิธีดำเนินการ หมายถึง การถามเกี่ยวกับขั้นตอนของกิจกรรมวิธีดำเนินเรื่องราว วิธีประพฤติปฏิบัติ แยกเป็น 5ประเภทคือ 
           1.2.1 ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน หมายถึง การถามเกี่ยวกับแบบฟอร์ม ระเบียบ แบบแผน วัฒนธรรม ประเพณี การใช้คำสุภาพ คำราชาศัพท์ 
ตัวอย่าง :  การไว้ทุกข์ของคนไทยใช้เสื้อผ้าสีอะไร  ? 
              ก. สีดำ                    ข. สีเขียว                 ค. สีขาว                 ง.สีม่วง 
           1.2.2 ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้นและแนวโน้ม หมายถึง การถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน -หลัง ข้อคำถามแนวโน้มส่วนใหญ่ใช้คำว่า มักจะ เพราะเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์
ตัวอย่าง :    ในการช่วยคนจมน้ำควรทำสิ่งใดก่อน ? 
              ก. ล้วงคอ             ข.  ตามแพทย์            ค.  ผายปอด         ง. กดท้อง
           1.2.3 ความรู้เกี่ยวกับการจัดประเภท หมายถึง การถามให้จำแนก แจกแจง จัดประเภท หรือถามในรูปปฏิเสธ เช่น ไม่เข้าพวก ไม่เข้ากลุ่ม
ตัวอย่าง :   โลกเป็นประเภทกับดาวอะไร ? 
              ก. ดวงอาทิตย์         ข.  ดาวพุธ            ค.  ดาวศุกร์          ง.ดาวพฤหัสบดี
           1.2.4 ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ หมายถึง ข้อกำหนดที่ยึดเป็นหลักแล้วนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ถามเอกลักษณ์
ตัวอย่าง :   เชื้อเพลิงมีลักษณะอย่างไร  ? 
              ก. ราคาถูก         ข.  ติดไฟง่าย        ค.  ให้ความร้อนสูง       ง.ติดไฟได้นาน
           1.2.5 ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ หมายถึง การถามวิธีปฏิบัติ การทำกิจกรรมขั้นตอนการทำงาน เช่น ปฏิบัติอย่างไร ควรทำโดยวิธีใดจึงจะมีประสิทธิภาพ 
ตัวอย่าง :   วัตถุใดไม่สามารถ หาปริมาตรโดยวิธีแทนที่น้ำ  ? 
              ก. สารส้ม             ข. ลูกแก้ว               ค. ก้อนหิน               ง.กำมะถัน
        1.3 ความรู้รวบยอดในเนื้อเรื่อง หมายถึง ความสามารถในการค้นหาหลักการหรือหัวใจของเรื่อง
           1.3.1 ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและการขยาย หมายถึง หัวใจของเรื่องราวที่เกิดจากหลาย ๆ ความคิดรวบยอด มารวมกัน การขยายเป็นการขยายความต่อออกไปจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รู้มา
หรือสรุปออกจากนอกเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง :   เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ เป็นเรื่องของอะไร ? 
              ก. การเกิดฤดูกาล    ข. การโคจรรอบดวงอาทิตย์     ค.  การหมุนของโลก      ง. เวลา
           1.3.2 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง หมายถึง ถามเกี่ยวกับ คติ และหลักการ ของหลายเนื้อหาที่ไม่สัมพันธ์กัน
ตัวอย่าง :   นิราศ เป็นบทกลอนที่แต่งในอารมณ์ใด  ? 
              ก.   ดีใจ                  ข.   เสียใจ             ค.  สนุกสนาน              ง.โกรธแค้น
2.ด้านความเข้าใจ (Comprehension)
        หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ความจำไปดัดแปลงปรับปรุง เพื่อให้สามารถจับใจความ หรือเปรียบเทียบ ย่นย่อเรื่องราว ความคิด ข้อเท็จจริงต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ด้านมีรายละเอียด ดังนี้
        2.1 การแปลความ หมายถึง ความสามารถแปลสิ่งซึ่งอยู่ในระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งได้ สุภาษิต สำนวน โวหาร
ตัวอย่าง :   เหงือกปลาทำหน้าที่คล้ายกับอวัยวะส่วนใดของคน ? 
              ก. หู          ข. ฟัน           ค. ปาก            ง. จมูก
        2.2 การตีความ หมายถึง การจับใจความสำคัญของเรื่องหรือการเอาเรื่องราวเดิมมาคิดในแง่ใหม่
ตัวอย่าง : เหตุใดต้นไม้เล็กที่ขึ้นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่จึงมีลำต้นสูวชะลูด ? 
              ก.  เพื่อให้ได้แสงแดด    ข. เพื่อให้ได้อากาศ    ค. เพื่อให้ทรงตัวเร็ว     ง.เพื่อให้แข็งแรงเท่าต้นใหญ่
        2.3 การขยายความ หมายถึง การคาดคะเนหรือคาดหวังว่า จะมีสิ่งนั้นเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต หรืออนาคต โดยอาศัยแนวโน้มที่ทราบมาเป็นหลัก
ตัวอย่าง :   ถ้าเด็ดใบเลี้ยงของพืชที่เพิ่งงอกจะเกิดผลอย่างไร ? 
              ก.  พืชโตช้า         ข. พืชจะตาย         ค.   พืชจะเหี่ยวเฉา        ง.ต้นจะเเคระแกร็น

3.ด้านการนำไปใช้ (Application)
        หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องราวใด ๆ ไปใช้ในสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันหรือในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
ตัวอย่าง :   คนที่หน้าตาซีดเซียวควรให้รับประทานอาหารอะไร ?
              ก. นมสด          ข. ตับไก่           ค. ผักบุ้ง          ง. เนื้อหมู

4.ด้านการวิเคราะห์ (Analysis)
        หมายถึง การแยกแยะพิจารณาดูรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ว่ามีชิ้นส่วนใดสำคัญที่สุด เป็นการใช้วิจารณญาณเพื่อไตร่ตรอง
        4.1 การวิเคราะห์ ความสำคัญ หมายถึง การพิจารณาหรือจำแนกว่า ชิ้นใด ส่วนใด เรื่องใด ตอนใด สำคัญที่สุด หรือหาจุดเด่น จุดประสงค์สำคัญ
ตัวอย่าง :  นิ้วมือนิ้วใดสำคัญมากที่สุด ?
              ก.นิ้วหัวแม่มือ      ข.นิ้วชี้     ค.นิ้วกลาง        ง. นิ้นาง 
        4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ หมายถึง การค้นหาความเกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะสำคัญของเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ ว่าสองชิ้นส่วนใดสัมพันธ์กัน
ตัวอย่าง :   ผึ้งที่เฝ้ารังป้องกันภัยต่างๆ เปรียบได้กับคนทำงานอาชีพอะไร ? 
              ก.  ยาม          ข.  ทหาร          ค. นักสืบ          ง.ตำรวจ
        4.3 การวิเคราะห์หลักการ หมายถึง การให้พิจารณาดูชิ้นส่วน หรือส่วนปลีกย่อยต่าง ๆ ว่า ทำงานหรือเกาะยึดกันได้ หรือคงสภาพเช่นนั้นได้เพราะใช้หลักการใดเป็นแกนกลาง
ตัวอย่าง :  ปากทำงานร่วมกับอวัยวะใด ? 
              ก. ลิ้น                 ข.     เพดาน           ค. ฟัน             ง.หลอดลม

5.ด้านการสังเคราะห์ (Synthesis)
         หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นเรื่องราวใหม่  แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
        5.1 การสังเคราะห์ข้อความ หมายถึง การนำเอาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ มาผสมหรือปรุงแต่งขึ้นใหม่ เกิดเป็นข้อความหรือเรื่องราวใหม่ ๆ เช่น การเขียนเรียงความ
ตัวอย่าง :  เรื่องพระเวชสันดรเป็นตัวอย่างของความดีในเรื่องใด น้อยที่สุด  ? 
              ก.     ความเพียร       ข. ความเสียสละ       ค. ความกตัญญู          ง.ความเมตตากรุณา
        5.2 การสังเคราะห์แผนงาน หมายถึง เป็นการวัดความสามารถในการเขียนโครง
การ แผนปฏิบัติงาน
ตัวอย่าง :   คำใด ไม่เกี่ยวข้อง กับการวางแผนงาน  ? 
              ก. ควรจะ                ข.  มุ่งหมาย          ค.   คาดคะเน           ง.ฉับพลัน
        5.3 การสังเคราะห์ ความสัมพันธ์ หมายถึง การเอาความสำคัญและหลักการต่าง ๆ มาผสมให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นสิ่งสำเร็จหน่วยใหม่ ที่มีความสัมพันธ์แปลกไปจากเดิม
ตัวอย่าง :   คนที่ไม่ลักขโมยเป็นคนดี เเต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นเขาจะต้องประพฤติอะไรอีกย่างหนึ่ง ? 
              ก. ไม่โลภมาก           ข. อาชีพสุจริต            ค.  มีเมตตากรุณา        ง.มีความซื่อสัตย์

6.ด้านการประเมินค่า (Evaluation)
        หมายถึง การวินิจฉัย หรือตีราคา เรื่องราว ความคิด เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยสรุปเป็นคุณค่าว่า ดี-เลว
        6.1 การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายใน หมายถึง การประเมินค่าโดยใช้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ         ตามท้องเรื่อง หรือตามสถานการณ์นั้น ๆ
ตัวอย่าง :   จากเรื่องรามเกียรติ์ พิเภกเป็นบุคคลอย่างไร ? 
              ก.    ทรยศต่อทศกัณฐ์       ข. เป็นไส้ศึกให้กับทศกัณฐ์        ค. ต้องการเป็นใหญ่ในลงกา      
              ง.เป็นประโยชน์ต่อพระราม
        6.2 การประเมินค่า โดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก หมายถึง การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์จากสิ่งภายนอกเรื่องราวนั้น ๆ เป็นหลักในการพิจารณาตัดสิน
ตัวอย่าง :  ตามประเพณ๊ไทย ถือว่านางวันทองเป็นคนดีหรือไม่   ? 
              ก. ดี   เพราะรักสามีทั้งสองคน
              ข. ดี   เพราะเมื่อตายเเล้วยังเป็นห่วงลูก
              ค.ไม่ดี เพราะหูเบาเชื่อคนง่าย
              ง.ไม่ดี  เพราะมีสามีสองคน